ในการติดตั้ง PHP นั้น ผู้ใช้สามารถ Download PHP รุ่นล่าสุดได้จาก “http://www.php.net” โดยการ Download อาจจะเลือก Download แบบที่เป็น Binary Distribution หรือ Source Code ก็ได้ ทั้งนี้หากเลือก Download แบบที่เป็น Source Code นั้นก่อนการใช้งานผู้ใช้อาจจะต้องทำการตั้งค่า และ Compile ระบบ PHP ก่อน (ซึ่งการแจกจ่ายเป็น Source Code นั้นเป็นระบบที่นิยมทำกันอย่างมาก ในจากแจกจ่ายซอฟต์แวร์บน Unix) แต่หากผู้ใช้เลือกที่จะ Download แบบ Binary ก็สามารถที่จะติดตั้ง แล้วใช้ได้ทันที ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงการติดตั้งบน Windows และ Linux เท่านั้น บนระบบอื่นๆ ผู้ใช้สามารถหารายละเอียดอ่านได้จากคู่มือ PHP ทั่วไป
บน PWS/IIS 3.0
- ให้ผู้ใช้ทำการ Unzip ไฟล์ PHP Binary Distributioin รุ่นล่าสุดลงในเครื่อง (แนะนำให้ไว้ใน Folder “C:\PHP”)
- จากนั้นให้ทำการ Run Program “Regedit”
- ไปยัง Key ชื่อ/System /CurrentControlSet /Services /W3Svc /Parameters /ScriptMap.
- เมื่อพบแล้วให้สร้าง Key ใหม่ โดยเลือกที่ Menu Edit -> New -> String Value
- ใส่ Extension ที่ต้องการเช่น “.php” หรือ “.phtml”
- Double Click ที่ Key ดังกล่าว แล้วระบุชื่อไฟล์ไปยัง php.exe ดังเช่น “c:\php\php.exe %s %s” ทั้งนี้ จะต้องใส่ %s .ให้ครบและถูกต้องตามข้อความดังกล่าว กรณีที่ใช้ PWS 4.0 ซึ่งรองรับการทำงานของ ISAPI 4.0 ขึ้นไปนั้น ผู้ใช้อาจจะเลือกใช้ Key เป็น “c:\php\phpisapi.dll” แทนก็ได้ (Key นี้ไม่สามารถใช้ได้กับ IIS 3.0)
- ทำการสร้าง File PHP.INI ใน Directory c:\windows (หรือ c:\winnt กรณีที่เป็น WINNT) โดยอาจจะนำไฟล์ PHP.INI ที่มากับชุดที่ Download มาใช้ก็ได้ ทั้งนี้บางกรณีอาจจะต้องมีการตั้งค่าบางอย่าง เพื่อให้ระบบสามารถทำงานตามต้องการ (ดูในหัวข้อการตั้งค่าระบบ)
- Restart Web Server
- ทำการทดสอบ (ดูในหัวข้อทดสอบการทำงาน)
กรณีที่เป็น IIS4.0 หรือ IIS 50 ผู้ใช้สามารถอ่านรายละเอียดได้จาก README ซึ่งมากับชุด Binary ของ PHP
กรณีผู้ใช้งานใช้ Linux ทีเป็น RedHat หรือ Debain นั้น อาจจะเลือก Download PHP ที่เป็น RPM มาแล้วทำการ Install ได้เลย เช่นกรณีไฟล์ที่ Load มาชื่อ php_mod.rpm ก็สามารถติดตั้งได้โดย rpm -i php_mod.rpm เป็นต้น ส่วนกรณีที่ผู้ใช้งานทำงานบน Unix ระบบอื่นๆ หรือต้องการ Compile เองนั้น ในที่นี้จะกล่าวถึงการ Compile เป็น Share Module ของ Apache โดยมีขั้นตอนในการติดตั้งคราวๆ ดังนี้ (การ Compile โปรแกรมเองบน Unix นั้น ผู้ใช้ควรมีความเข้าใจพื้นฐานของระบบ Unix หรือ เคย Compile โปรแกรมบน Unix มาก่อน)
- Unpack Apache ด้วยคำสั่ง “gunzip < apache_1.3.X.tar.gz | tar xvf -” (กรณีที่เป็น Linux อาจจะทำได้ในคำสั่งเดียวด้วย “tar zxvf apache_1.3.X.tar.gz” ก็ได้) ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถ Download Apache ได้จาก www.apache.com ซึ่งชื่อไฟล์ที่ได้จะแตกต่างกันไป
- ให้ทำการติดตั้ง Web Server (Apache) ให้สนับสนุนการทำงานแบบ Share Module ดังนี้
- cd apache_1.3.X
- ./configure --prefix=/path/to/apache --enabled-shared=max
- make
- make install
(รายละเอียดของการติดตั้ง Apache เพิ่มเติมดูได้จาก README.configure หรือ คู่มือการ Install Apache) - Unpack PHP ด้วยคำสั่ง“gunzip < php_4.x.x.tar.gz | tar xvf -” (กรณีที่เป็น Linux อาจจะทำได้ในคำสั่งเดียวด้วย “tar zxvf php_4.x.x.tar.gz” ก็ได้)
- ให้ทำการติดตั้ง PHP โดยระบุ Path ไปยัง Apache apxs ดังนี้
- cd php_4.x.x
- ./configure --with-apxs=/path/to/apache/bin/apxs \
- --with-configure-file-path=/path/to/apache \
- --with-mysql
- make
- make install
(กรณีต้องการใช้งาน Extension Module ให้ดู Parameter เพิ่มเติมตอน Configure ได้จาก “./configure --help”) - แก้ไข Config ของ Apache ใน “httpd.conf” หรือ srm.conf โดยให้แทรกบรรทัดAddType application/x-httpd-php .php
- ทำการแก้ไข PHP.INI แล้วจึง Restart Server
- ทำการทดสอบ (ดูในหัวข้อทดสอบการทำงาน)
(อยู่ระหว่างการ Update)
การทดสอบการทำงานของ PHP แบบที่ง่ายที่สุดสามารถทำได้โดย ทดลองสร้างหน้า Web Page ที่มี Code PHP แทรกอยู่แบบง่ายๆ ซึ่ง Code ทดสอบที่ดีที่สุดคือ การเรียกใช้ Function phpinfo(); ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ทั้งนี้ไฟล์ดังกล่าวควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ อย่างไรก็ตามชื่อไฟล์นั้นอาจจะชื่อ test.php หรือ test.php3 หรือ test.phtml ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ extension ที่กำหนดไว้ตอนติดตั้งระบบ นอกจากนี้ phpinfo ยังจะบอกรายละเอียดและค่าต่างๆ ที่ได้ติดตั้งไว้ในระบบด้วย
| <?php phpinfo(); ?> |
ตัวอย่าง Code PHP สำหรับการทดสอบระบบ